บันทึกหมอเมียนมากลางรัฐประหาร "ภรรยาผมบอก ทำสิ่งที่ต้องทำ ถ้าคุณตาย ฉันก็ภูมิใจในตัวคุณ"
บทสัมภาษณ์จากเว็บไซต์ The Guardian (26 มี.ค.) บันทึกเรื่องราวของคุณหมอ ผู้ทำการรักษาบาดแผลของผู้ชุมนุมที่ได้รับจากทหาร ตำรวจ ระหว่างการประท้วงต่อต้านการรัฐประหารของกองทัพเมียนมา
เมื่อการรัฐประหารของกองทัพเกิดขึ้น ผมเข้าร่วมทีมแพทย์เพื่อช่วยดูแลรักษาให้ผู้ชุมนุม รถพยาบาลเคยถูกยิงสองครั้ง พวกเราทำได้เพียงหนีออกมาแล้วก็วิ่ง
ถ้าพวกเราไม่จัดการรักษาพยาบาลให้ ก็จะไม่มีสถานที่ให้คนเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์และพยาบาลหลายคนปฏิเสธที่จะไปทำงานในโรงพยาบาลรัฐ เพราะพวกเขากำลังประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหาร สถานที่เดียวที่จะทำการรักษาแผลได้คือโรงพยาบาลของกองทัพ
"ผมกำลังทำสิ่งนี้เพื่อประชาชนในประเทศเรา และเพราะผมอยากให้ลูกผมได้มีอนาคตที่สดใส"
วันเสาร์
ทุกเช้า ผมจะสวดมนต์ เขียนหมู่เลือด เบอร์โทรฉุกเฉิน น้ำหนัก และข้อมูลจำเป็นอื่น ๆ ของตัวเองลงบนแขน ผมบอกภรรยาว่า
"ถ้าผมไม่กลับมา คุณต้องอยู่ด้วยตัวเองนะ ดูแลลูกของเรา ภรรยาของผมเองก็สนับสนุนการต่อต้านกองทัพเช่นกัน เธอบอกผม ให้ทำสิ่งที่ต้องทำ ถ้าคุณตาย ฉันก็ภูมิใจในตัวคุณ"
วันนี้...มีการประท้วงของเหล่านักศึกษา กองทัพพยายามที่จะจับพวกเขา แต่พวกเขาวิ่งหนี และหลบเข้าอยู่ในบ้านของชาวบ้าน เจ้าของบ้านไม่ยอมส่งตัวพวกเขาออกไป ดังนั้นทหารจึงเริ่มยิง
วันอาทิตย์
ทีมของผมได้ยินจากเครือข่ายเราว่า มีการยิงกันอีกที่ละแวกตัวเมือง ตอนนั้นยังไม่มีการประท้วง แต่กองทัพไปยิงคนตอนออกลาดตระเวนบนท้องถนน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน ในนั้นมีเด็กชายอายุ 13 ปี และมีผู้หญิงถูกยิง ร่างของเธอนอนอยู่บนพื้นถนน ขณะนั้นมีทหารสาดกระสุนอยู่ใกล้ ๆ เราต้องรออยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ถึงจะเข้าไปดูเธอได้ แต่บาดแผลที่หลังศีรษะเธอร้ายแรงถึงชีวิต
มีผู้บาดเจ็บบางคนที่เราเห็น นอนอยู่บนพื้นถนนนั้น แต่เราไม่อาจเข้าถึง พวกเขาถูกกองทัพพาตัวไป และอาจต้องตาย หรืออาจไม่ได้รับการรักษา ผมคิดว่าตัวเลขเสียชีวิตอย่างเป็นทางการประเมินไว้ต่ำไป ผมคิดว่าผมเกือบเข้าสู่ภาวะ PTSD (ป่วยทางจิตเหตุการณ์รุนแรง) แล้ว
"บางครั้งผมก็หัวเราะ บางคราวก็ร้องไห้ บางครั้งผมรู้สึกสลดหดหู่ใจ ไม่อาจข่มตาหลับสนิท"
ผมไม่เคยรักษาบาดแผลจากการถูกยิงมาก่อนการรัฐประหาร ผมจึงต้องเรียนรู้วิธีจากการดู YouTube และจากการอ่านหนังสือการแพทย์และการผ่าตัด
วันจันทร์
ปกติแล้วพวกเราจะติดต่อกันด้วยเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์บนแอปพลิเคชัน แต่ตอนนี้รัฐบาลทหารตัดการใช้ข้อมูลมือถือ ในพื้นที่วันนี้มีคนถูกฆ่า 3 คน เหยื่อหนึ่งในนั้นที่ผมยืนยันการตายพึ่งจะอายุ 20
ทหารกำลังทำลายสิ่งกีดขวางที่ผู้อยู่อาศัยวางเพื่อปกป้องแถวบ้านตัวเอง และผู้คนที่หวาดกลัว กำลังวางเครื่องกีดขวางใหม่ให้ขยายออกไปตามถนน ทหารเริ่มยิงใส่พวกเขา
พวกเราทำการรักษาผู้ป่วยแถวบ้านใกล้เคียงนั้น มีแผลถูกยิงบริเวณไหล่ สะโพก รวมทั้งบาดแผลจากกระสุนยางและมีผู้ป่วยคนหนึ่งมีบาดแผลที่ต้นขา
เราเย็บแผลปิดเข้าเพื่อห้ามเลือดโดยไม่มียาชา (local anaesthesia) พวกเราไม่มีอุปกรณ์มากติดตัว มีแต่กระเป๋าหลัง เราให้สารผ่านสายน้ำเกลือให้พวกเรา (IV Drip) และเพื่อฉีดยาแก้ปวดไดโคลฟีแนค (Diclofenac หรือ Voltaren) ระงับความเจ็บปวดให้พวกเขา บางครั้งเราต้องการมอร์ฟีน แต่มันเป็นยาควบคุม ดังนั้น จึงไม่อาจเข้าถึงได้โดยง่าย
ระหว่างทำการรักษาผู้ป่วย พวกเราจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายสถานที่ถึง 3 รอบ เพราะทหารกำลังมา อย่างกับสงคราม ผู้คนอาศัยอยู่บ้านเห็นอกเห็นใจพวกเรามาก ในฐานะทีมแพทย์ที่คอยรักษา พวกเราเป็นความช่วยเหลือเดียวที่พวกเขาสามารถหาได้
ถ้าอาการของผู้ป่วยสาหัสมาก และเราไม่อาจทำอะไรได้อีก เราจำเป็นต้องย้ายพวกเขาไปผ่าตัด ซึ่งจะดำเนินการต่อไปในสถานที่ปลอดภัย
วันอังคาร
วันนี้ค่อนข้างเงียบ ผู้ป่วยซึ่งเย็บไปเมื่อวานได้ทำแผล เรายังไปหา และมอบเงินให้กับครอบครัวของเหยื่อด้วย ทั้งมอบให้ผู้ป่วยซึ่งได้รับบาดเจ็บจนแขนด้วนเช่นกัน พวกเขาเป็นแค่คนยากคนคนจน บางคนมีภรรยาและลูก มีคนหนึ่ง ผู้ชายถูกฆ่าตาย ทิ้งภรรยาที่เพิ่งท้องได้ 3 เดือนเอาไว้ ทั้งปาระเบิดมือก่อกวน (Stun grenade)
ตอนนี้ผมไม่ได้นอนที่บ้านแล้ว ผมหลับในสถานที่แตกต่างกันไปทุกคืน ทำแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว ผมหวาดกลัวที่จะถูกบุกจู่โจมจับกุมยามค่ำคืน เมื่อทหารมา เราจะปิดไฟที่พัก และเปิดไฟบนถนน เพื่อจะได้มองเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ด้านนอก
วันพุธ
ข้อมูลมือถือยังคงล่ม พวกเราฝึกกลุ่มอาสาสมัครอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นบุคลากรทางแพทย์ สอนเขาให้ตรวจผู้ป่วย วิธีการขันชะเนาะ รัดห้ามเลือด ผมกลัววันพรุ่งนี้ ทุกวันสองวันอาจตามมาด้วยความรุนแรง
วันพฤหัสบดี
ทหารมาอีกครั้งตอนกลางคืน ลาดตระเวนสถานที่ที่ผมพักอยู่ และตะโกนใส่พวกเราที่ไม่ยอมออกไปข้างนอก คนบนถนนที่ผมอยู่ปกติดี แต่แถวอื่นไม่ไกลนัก มีชายคนหนึ่งถูกยิงตาย เขาเป็นผู้อาสาจะอยู่ยามข้างนอกในค่ำคืนที่มีการลาดตระเวน เพื่อคอยเตือนคนอื่น ๆ หากทหารบุกเข้ามา
ลูกสาวของผมกลัวเสียงปืนดังและเสียงด่าทอ เธอถามผมว่า ทำไมตำรวจไม่มาคะ เพื่อจะได้มายุติการยิง แบบที่เธอเห็นในหนัง ที่ตำรวจเป็นคนดี มาจัดการกับคนเลว มันเป็นคำถามที่ยากมากสำหรับผม
"ผมจะบอกเธอยังไงดี ว่าคนที่กำลังยิงคนคือตำรวจและทหาร"
ตอนที่ผมออกไปข้างนอก ลูกสาวถามผมว่าเมื่อไหร่ผมจะกลับ เธอบอกผมว่า "พ่อคะ อย่าออกไปเลย พวกเขาจะยิงพ่อ" มันเป็นบาดแผลทางจิตใจสำหรับเด็ก ๆ เนื่องจากโควิด-19 โรงเรียนปิดการเรียนการสอนมากว่าปีครึ่งแล้ว ลูกสาวถามผมว่าเมื่อไหร่เธอจะออกไปเที่ยวได้ แต่การออกนอกบ้านอันตรายเกินไปสำหรับเด็ก ๆ โชคดีที่เรามีไวไฟ เธอเลยนั่งดู YouTube ได้
ผมล็อกเอาต์ออกจากเฟซบุ๊กเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อจะได้มีสมาธิกับงาน ที่นั่นข่าวลือ ข่าวเท็จมากมาย สงครามทางจิตวิทยาโดยรัฐบาลทหาร รวมทั้งภาพกราฟิกบนสื่อสังคมออนไลน์ มีวิดีโอถ่ายทอดสดผู้คนถูกประหาร ถูกจับ และถูกทุบตี มันยากที่จะรับมือกับสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นตลอดเวลา บางครั้ง ถ้าผมนอนไม่หลับตอนกลางคืน ผมก็จะใช้ยาช่วยลดความวิตกกังวล (Antidepressant)
หลังการปฏิวัติสำเร็จ ผมอยากจะสมัครเพื่อเปิดคลินิกพิเศษรักษาบาดแผลทางจิตใจและความกดดัน เราต้องการมันมาก ๆ พวกเรารู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอด พวกเรารู้สึกถึงอันตราย และความรุนแรง
“พวกเราหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา”
Source: The Guardian
หมายเหตุ ภาพถ่ายจากแหล่งข้อมูลไม่ระบุชื่อบนเฟซบุ๊ก เมือ 26 มี.ค. 64 แสดงให้เห็นเสื้อกาวน์สีขาว พ่นโบว์สีดำ แขวนอยู่บนรั้วมหาวิทยาลัยแพทย์ที่มัณฑะเลย์โดยกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์เพื่อประท้วงการรัฐประหาร (Handout / FACEBOOK / AFP)
บันทึกหมอเมียนมากลางรัฐประหาร "ภรรยาผมบอก ทำสิ่งที่ต้องทำ ถ้าคุณตาย ฉันก็ภูมิใจในตัวคุณ"
บทสัมภาษณ์จากเว็บไซต์ The Guardian (26 มี.ค.) บันทึกเรื่องราวของคุณหมอ ผู้ทำการรักษาบาดแผลของผู้ชุมนุมที่ได้รับจากทหาร ตำรวจ ระหว่างการประท้วงต่อต้านการรัฐประหารของกองทัพเมียนมา
เมื่อการรัฐประหารของกองทัพเกิดขึ้น ผมเข้าร่วมทีมแพทย์เพื่อช่วยดูแลรักษาให้ผู้ชุมนุม รถพยาบาลเคยถูกยิงสองครั้ง พวกเราทำได้เพียงหนีออกมาแล้วก็วิ่ง
ถ้าพวกเราไม่จัดการรักษาพยาบาลให้ ก็จะไม่มีสถานที่ให้คนเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์และพยาบาลหลายคนปฏิเสธที่จะไปทำงานในโรงพยาบาลรัฐ เพราะพวกเขากำลังประท้วงต่อต้านรัฐบาลทหาร สถานที่เดียวที่จะทำการรักษาแผลได้คือโรงพยาบาลของกองทัพ
"ผมกำลังทำสิ่งนี้เพื่อประชาชนในประเทศเรา และเพราะผมอยากให้ลูกผมได้มีอนาคตที่สดใส"
วันเสาร์
ทุกเช้า ผมจะสวดมนต์ เขียนหมู่เลือด เบอร์โทรฉุกเฉิน น้ำหนัก และข้อมูลจำเป็นอื่น ๆ ของตัวเองลงบนแขน ผมบอกภรรยาว่า
"ถ้าผมไม่กลับมา คุณต้องอยู่ด้วยตัวเองนะ ดูแลลูกของเรา ภรรยาของผมเองก็สนับสนุนการต่อต้านกองทัพเช่นกัน เธอบอกผม ให้ทำสิ่งที่ต้องทำ ถ้าคุณตาย ฉันก็ภูมิใจในตัวคุณ"
วันนี้...มีการประท้วงของเหล่านักศึกษา กองทัพพยายามที่จะจับพวกเขา แต่พวกเขาวิ่งหนี และหลบเข้าอยู่ในบ้านของชาวบ้าน เจ้าของบ้านไม่ยอมส่งตัวพวกเขาออกไป ดังนั้นทหารจึงเริ่มยิง
วันอาทิตย์
ทีมของผมได้ยินจากเครือข่ายเราว่า มีการยิงกันอีกที่ละแวกตัวเมือง ตอนนั้นยังไม่มีการประท้วง แต่กองทัพไปยิงคนตอนออกลาดตระเวนบนท้องถนน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน ในนั้นมีเด็กชายอายุ 13 ปี และมีผู้หญิงถูกยิง ร่างของเธอนอนอยู่บนพื้นถนน ขณะนั้นมีทหารสาดกระสุนอยู่ใกล้ ๆ เราต้องรออยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ถึงจะเข้าไปดูเธอได้ แต่บาดแผลที่หลังศีรษะเธอร้ายแรงถึงชีวิต
มีผู้บาดเจ็บบางคนที่เราเห็น นอนอยู่บนพื้นถนนนั้น แต่เราไม่อาจเข้าถึง พวกเขาถูกกองทัพพาตัวไป และอาจต้องตาย หรืออาจไม่ได้รับการรักษา ผมคิดว่าตัวเลขเสียชีวิตอย่างเป็นทางการประเมินไว้ต่ำไป ผมคิดว่าผมเกือบเข้าสู่ภาวะ PTSD (ป่วยทางจิตเหตุการณ์รุนแรง) แล้ว
"บางครั้งผมก็หัวเราะ บางคราวก็ร้องไห้ บางครั้งผมรู้สึกสลดหดหู่ใจ ไม่อาจข่มตาหลับสนิท"
ผมไม่เคยรักษาบาดแผลจากการถูกยิงมาก่อนการรัฐประหาร ผมจึงต้องเรียนรู้วิธีจากการดู YouTube และจากการอ่านหนังสือการแพทย์และการผ่าตัด
วันจันทร์
ปกติแล้วพวกเราจะติดต่อกันด้วยเครือข่ายเพียร์ทูเพียร์บนแอปพลิเคชัน แต่ตอนนี้รัฐบาลทหารตัดการใช้ข้อมูลมือถือ ในพื้นที่วันนี้มีคนถูกฆ่า 3 คน เหยื่อหนึ่งในนั้นที่ผมยืนยันการตายพึ่งจะอายุ 20
ทหารกำลังทำลายสิ่งกีดขวางที่ผู้อยู่อาศัยวางเพื่อปกป้องแถวบ้านตัวเอง และผู้คนที่หวาดกลัว กำลังวางเครื่องกีดขวางใหม่ให้ขยายออกไปตามถนน ทหารเริ่มยิงใส่พวกเขา
พวกเราทำการรักษาผู้ป่วยแถวบ้านใกล้เคียงนั้น มีแผลถูกยิงบริเวณไหล่ สะโพก รวมทั้งบาดแผลจากกระสุนยางและมีผู้ป่วยคนหนึ่งมีบาดแผลที่ต้นขา
เราเย็บแผลปิดเข้าเพื่อห้ามเลือดโดยไม่มียาชา (local anaesthesia) พวกเราไม่มีอุปกรณ์มากติดตัว มีแต่กระเป๋าหลัง เราให้สารผ่านสายน้ำเกลือให้พวกเรา (IV Drip) และเพื่อฉีดยาแก้ปวดไดโคลฟีแนค (Diclofenac หรือ Voltaren) ระงับความเจ็บปวดให้พวกเขา บางครั้งเราต้องการมอร์ฟีน แต่มันเป็นยาควบคุม ดังนั้น จึงไม่อาจเข้าถึงได้โดยง่าย
ระหว่างทำการรักษาผู้ป่วย พวกเราจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายสถานที่ถึง 3 รอบ เพราะทหารกำลังมา อย่างกับสงคราม ผู้คนอาศัยอยู่บ้านเห็นอกเห็นใจพวกเรามาก ในฐานะทีมแพทย์ที่คอยรักษา พวกเราเป็นความช่วยเหลือเดียวที่พวกเขาสามารถหาได้
ถ้าอาการของผู้ป่วยสาหัสมาก และเราไม่อาจทำอะไรได้อีก เราจำเป็นต้องย้ายพวกเขาไปผ่าตัด ซึ่งจะดำเนินการต่อไปในสถานที่ปลอดภัย
วันอังคาร
วันนี้ค่อนข้างเงียบ ผู้ป่วยซึ่งเย็บไปเมื่อวานได้ทำแผล เรายังไปหา และมอบเงินให้กับครอบครัวของเหยื่อด้วย ทั้งมอบให้ผู้ป่วยซึ่งได้รับบาดเจ็บจนแขนด้วนเช่นกัน พวกเขาเป็นแค่คนยากคนคนจน บางคนมีภรรยาและลูก มีคนหนึ่ง ผู้ชายถูกฆ่าตาย ทิ้งภรรยาที่เพิ่งท้องได้ 3 เดือนเอาไว้ ทั้งปาระเบิดมือก่อกวน (Stun grenade)
ตอนนี้ผมไม่ได้นอนที่บ้านแล้ว ผมหลับในสถานที่แตกต่างกันไปทุกคืน ทำแบบนี้มาเป็นเดือนแล้ว ผมหวาดกลัวที่จะถูกบุกจู่โจมจับกุมยามค่ำคืน เมื่อทหารมา เราจะปิดไฟที่พัก และเปิดไฟบนถนน เพื่อจะได้มองเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ด้านนอก
วันพุธ
ข้อมูลมือถือยังคงล่ม พวกเราฝึกกลุ่มอาสาสมัครอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นบุคลากรทางแพทย์ สอนเขาให้ตรวจผู้ป่วย วิธีการขันชะเนาะ รัดห้ามเลือด ผมกลัววันพรุ่งนี้ ทุกวันสองวันอาจตามมาด้วยความรุนแรง
วันพฤหัสบดี
ทหารมาอีกครั้งตอนกลางคืน ลาดตระเวนสถานที่ที่ผมพักอยู่ และตะโกนใส่พวกเราที่ไม่ยอมออกไปข้างนอก คนบนถนนที่ผมอยู่ปกติดี แต่แถวอื่นไม่ไกลนัก มีชายคนหนึ่งถูกยิงตาย เขาเป็นผู้อาสาจะอยู่ยามข้างนอกในค่ำคืนที่มีการลาดตระเวน เพื่อคอยเตือนคนอื่น ๆ หากทหารบุกเข้ามา
ลูกสาวของผมกลัวเสียงปืนดังและเสียงด่าทอ เธอถามผมว่า ทำไมตำรวจไม่มาคะ เพื่อจะได้มายุติการยิง แบบที่เธอเห็นในหนัง ที่ตำรวจเป็นคนดี มาจัดการกับคนเลว มันเป็นคำถามที่ยากมากสำหรับผม
"ผมจะบอกเธอยังไงดี ว่าคนที่กำลังยิงคนคือตำรวจและทหาร"
ตอนที่ผมออกไปข้างนอก ลูกสาวถามผมว่าเมื่อไหร่ผมจะกลับ เธอบอกผมว่า "พ่อคะ อย่าออกไปเลย พวกเขาจะยิงพ่อ" มันเป็นบาดแผลทางจิตใจสำหรับเด็ก ๆ เนื่องจากโควิด-19 โรงเรียนปิดการเรียนการสอนมากว่าปีครึ่งแล้ว ลูกสาวถามผมว่าเมื่อไหร่เธอจะออกไปเที่ยวได้ แต่การออกนอกบ้านอันตรายเกินไปสำหรับเด็ก ๆ โชคดีที่เรามีไวไฟ เธอเลยนั่งดู YouTube ได้
ผมล็อกเอาต์ออกจากเฟซบุ๊กเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อจะได้มีสมาธิกับงาน ที่นั่นข่าวลือ ข่าวเท็จมากมาย สงครามทางจิตวิทยาโดยรัฐบาลทหาร รวมทั้งภาพกราฟิกบนสื่อสังคมออนไลน์ มีวิดีโอถ่ายทอดสดผู้คนถูกประหาร ถูกจับ และถูกทุบตี มันยากที่จะรับมือกับสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นตลอดเวลา บางครั้ง ถ้าผมนอนไม่หลับตอนกลางคืน ผมก็จะใช้ยาช่วยลดความวิตกกังวล (Antidepressant)
หลังการปฏิวัติสำเร็จ ผมอยากจะสมัครเพื่อเปิดคลินิกพิเศษรักษาบาดแผลทางจิตใจและความกดดัน เราต้องการมันมาก ๆ พวกเรารู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอด พวกเรารู้สึกถึงอันตราย และความรุนแรง
“พวกเราหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา”
Source: The Guardian
หมายเหตุ ภาพถ่ายจากแหล่งข้อมูลไม่ระบุชื่อบนเฟซบุ๊ก เมือ 26 มี.ค. 64 แสดงให้เห็นเสื้อกาวน์สีขาว พ่นโบว์สีดำ แขวนอยู่บนรั้วมหาวิทยาลัยแพทย์ที่มัณฑะเลย์โดยกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์เพื่อประท้วงการรัฐประหาร (Handout / FACEBOOK / AFP)