"โจ ไบเดน" ลงนามคำสั่งอภัยโทษบุตรชาย "ฮันเตอร์ ไบเดน" ในข้อหาเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนและการเลี่ยงภาษี แม้จะเคยให้คำมั่นไว้ว่าจะไม่ใช้อำนาจประธานาธิบดีช่วยเหลือบุตรชายทางคดีโดยเด็ดขาด ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้น เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนจะอำลาตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
การประชันวิสัยทัศน์ที่เป็นการพบกันครั้งแรกของ "คามาลา แฮร์ริส-โดนัลด์ ทรัมป์" กำลังจะเริ่มขึ้นท่ามกลางการจับตาของคนทั่วโลก บางคนมองว่าเป็นการเปิดตัวแฮร์ริสในเวทีระดับประเทศครั้งแรกหลังห่างหายไปตั้งแต่ปี 2563 ขณะที่ทรัมป์ดีเบตมาแล้วอย่างโชกโชนถึง 6 ครั้ง
วันนี้ (2 พ.ย. 67) โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งอภัยโทษให้ ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของตนเอง ซึ่งถูกตัดสินความผิดในคดีอาญา ที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนและการเลี่ยงภาษี แม้จะเคยให้คำมั่นไว้ว่าจะไม่ใช้อำนาจประธานาธิบดี ช่วยเหลือบุตรชายเด็ดขาด ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้น เพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อน #ไบเดน จะอำลาตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
“โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จับมือทักทาย “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน ที่โรงแรมในกรุงลิมาของเปรู ก่อนร่วมประชุมทวิภาคี ซึ่งถือเป็นการประชุมคู่ขนานกับการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC ที่ปิดฉากลงไปแล้วเมื่อวานนี้ (16 พ.ย. 67) ตามเวลาท้องถิ่น การหารือของผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำจีนครั้งนี้ ถือเป็นการหารือทวิภาคีครั้งสุดท้าย ก่อนที่ไบเดนจะก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยสี ระบุว่า จีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพของการสื่อสาร การขยายขอบเขตความร่วมมือ และการจัดการความแตกต่าง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เป็นไปอย่างราบรื่น ด้านไบเดน ระบุว่า พึงพอใจอย่างมากกับความก้าวหน้าที่ทั้ง 2 ประเทศปฏิบัติร่วมกัน พร้อมทั้งระบุว่าผู้นำทั้งสองอาจไม่ได้มีความเห็นตรงกันเสมอไป แต่การพูดคุยกันเป็นไปอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา ซึ่งการพูดคุยเหล่านี้ช่วยป้องกันการคาดคะเนที่ผิดพลาด และทำให้มั่นใจว่าการแข่งขันระหว่างสองประเทศจะไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง
มีภาพความเคลื่อนไหวที่หลายคนตั้งตารอ คือการพบหน้ากันระหว่างอดีตคู่ปรับอย่าง โจ ไบเดน และ โดนัลด์ ทรัมป์ สองผู้นำสหรัฐฯ ที่วันนี้จับมือกันแล้วในที่สุด เพื่อเตรียมส่งไม้ต่อการบริหารประเทศ เป็นธรรมเนียมที่กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหลังห่างหายไปนานถึง 8 ปี และบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางข่าวดีของพรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรไว้ได้ ส่งให้ทรัมป์กุมบังเหียนพร้อมเสียงสนับสนุนจากสภาคองเกรสทั้งหมดแบบไร้เสียงทัดทาน
ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะไปได้อย่างถล่มทลายทำให้หลายประเทศร่วมแสดงความยินดี ขณะที่ในสหรัฐฯ มีกลุ่มต่อต้านร่วมเคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจเช่นกัน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายภายใต้การนำของทรัมป์ในสมัยหน้า เกิดกระแสความกังวลและการกล่าวโทษกันไปมา โดยเฉพาะในฝั่งเดโมแครต จนล่าสุดผู้นำคนปัจจุบันต้องเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเพลา ๆ ลงบ้าง
กระแสกดดันให้ผู้นำสหรัฐฯ ถอนตัวจากการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพฤศจิกายนนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้านจอร์จ คลูนีย์ นักแสดง ผู้กำกับ และผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดัง ได้ตีพิมพ์บทความลงในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ The New York Times บทความนี้มาชื่อ ว่า I Love Joe Biden But We Need a New Nominee หรือ ผมรักโจ ไบเดน แต่เราจำเป็นต้องมีผู้แทนพรรคคนใหม่