ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“ทักษิณ” ปมชั้น 14 ไม่จบ ลุ้นเห็นทิศทางชัด 13 มิ.ย.

การเมือง
1 พ.ค. 68
15:10
74
Logo Thai PBS
“ทักษิณ” ปมชั้น 14 ไม่จบ ลุ้นเห็นทิศทางชัด 13 มิ.ย.
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะยกคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ขอให้ไต่สวนกรณีส่งตัว นายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ผิดขั้นตอนกฎหมายหรือไม่ เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยศาลให้เหตุผลว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง

แต่ยังมีข้อวินิจฉัย เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจในการไต่สวน

และมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร ให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ชี้แจงข้อเท็จจริง ประกอบการพิจารณาของศาล ว่าการดำเนินการเกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลย เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่

และให้โจทก์-จำเลย แจ้งให้ศาลทราบ พร้อมกับแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง และศาลมีคำสั่งให้นัดไต่สวน วันที่ 13 มิถุนายน เวลา 09.30 น.

เท่ากับหมายถึง เมื่อศาลตัดสินจำคุกนายทักษิณ รวม 8 ปี ได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือจำคุก 1 ปี แต่นายทักษิณ ไม่ได้ถูกจำคุกในเรือนจำแม้แต่วันเดียว เพราะวันแรก 22 ส.ค.2566 ที่เดินทางกลับประเทศไทย และถูกส่งตัวไปถึงเรือนจำ ได้อ้างว่าป่วย ก่อนถูกส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

จากนั้นเป็นคนไข้แบบวีไอพี อยู่ยาวจนถึงพักโทษ 18 ก.พ.2567 ถูกส่งตัวไปยังบ้านพัก “จันทร์ส่องหล้า” ภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69

ท่ามกลางความเชื่อของผู้คนส่วนใหญ่ว่า “ไม่ได้ป่วยจริง” แต่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากหลายฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่เรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ กระทั่งถึงรัฐมนตรียุติธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ที่อ้างเหตุผลตรงกันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและกฎหมาย เป็นความเหลื่อมล้ำ แม้แต่ในระดับนักโทษ และสะท้อนถึงระบบของกระบวนการยุติธรรมไทย

รศ.โอฬาร ถิ่นบางเตียว นักวิชาการคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ม.บูรพา ให้ความเห็นว่า เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ศาลได้ตระหนักและความสำคัญกับเรื่องนี้ หลังจากกระแสสังคมมีท่าทีและเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากและต่อเนื่อง จนค้างคาใจ ในเรื่องกระบวนการยุติธรรมไทย และหลายองค์กร ไม่อาจสร้างความกระจ่างเรื่องนี้ได้ จึงต้องการเรียกความศรัทธา และสร้างการยอมรับให้กลับคืนมา

นำไปสู่การรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา และมีคำสั่งไปยังส่วนที่เกี่ยวข้องดังกล่าว เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง

ประเด็นสำคัญอีกอย่างในเชิงทางการเมือง รศ.โอฬารเห็นว่า สะท้อนให้เห็นความไม่วางใจ หรือความไว้วางใจระหว่างกลุ่มขั้วอำนาจเก่ากับกลุ่มอำนาจใหม่ที่นำโดยนายทักษิณ ชินวัตร ลดน้อยลง และอาจมีการเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตาม “ดีลลับ” ที่มีการเจรจาตกลงกันไว้

เหตุผลหนึ่งที่ รศ.โอฬาร หยิบยกมาสนับสนุนเรื่องนี้ คือช่วงหลัง ๆ มักได้เห็นนายทักษิณ เคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์ และพุ่งเป้าโจมตีใส่ผู้นำและพรรคประชาชนบ่อยขึ้น หลังสุดคือการหาเสียงนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่ และใช้ภาษาเหนือ หรือ “กำเมือง” เป็นเครื่องมือสำคัญ

เป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายขั้วอำนาจเก่าเห็นว่า ยังมีความจำเป็นที่ต้องใช้นายทักษิณและพรรคเพื่อไทย ในการสกัดกั้นและสู้กับพลพรรคสีส้ม ที่ถือเป็นฝ่ายอริสำคัญสำหรับกลุ่มขั้วอำนาจดังกล่าว ตราบใดที่ยังไม่มีทางเลือกหรือ “ช้อยส์” อื่นที่ดีกว่า ขณะเดียวกัน ยังมีนัยปรามกันอยู่ในทีว่า หากบีบคั้นกันมากไป อาจได้เห็นการจับมือของพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน จัดตั้งรัฐบาลร่วมกันได้

เพียงแค่ค่ายสีส้ม ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนเมื่อไม่นานมานี้แล้วว่า จะไม่มีการจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่หลังเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่แน่ หากพรรคเพื่อไทยยอมขอโทษว่าได้ทำผิดต่อประชาชนอย่างเป็นทางการ

วันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวน จึงจะเป็นวันสำคัญที่ทำให้มองเห็นได้เลาๆ สำหรับอนาคตและสมการทางการเมืองไทย ยุคชิงไหวชิงพริบและชิงอำนาจของ 3 ขั้วการเมือง จะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส

อ่านข่าว : กลุ่มพยาบาลฟอกไตร้องศาลปกครองเพิกถอนประกาศ สธ.

DSI-โยธาฯ จ่อเปิดเอกสารตึก สตง.ถล่ม 121 ลัง สอบวิศวกรวันนี้ 8 คน

วิโรจน์จวกสรรพากร! คกก.ภาษีฯ ไม่ครบทำคดีตั๋ว PN นายกฯ ไม่ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง