ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

คนรักทุเรียนต้องรู้! เคล็ดลับกินอย่างไรให้อร่อยปากไม่ลำบากกาย

ไลฟ์สไตล์
6 พ.ค. 68
13:06
29
Logo Thai PBS
คนรักทุเรียนต้องรู้!  เคล็ดลับกินอย่างไรให้อร่อยปากไม่ลำบากกาย
หน้าทุเรียนกลับมาอีกครั้ง! คนไทยแห่ชิม "ราชาแห่งผลไม้" แต่แม้จะอร่อย หากกินไม่ถูกวิธีก็เสี่ยง "ร้อนใน อ้วน เบาหวาน" ได้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนควรกินในปริมาณเหมาะสม และจับคู่อาหารอย่างชาญฉลาด พร้อมแนะเทคนิค "กินทุเรียนให้สุขภาพดี"

ทุก ๆ ปีในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูกาลแห่งทุเรียน ผลไม้ที่ได้รับฉายาว่า "ราชาแห่งผลไม้" (King of Fruits) ด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ เนื้อเนียนนุ่ม และรสชาติหวานมันที่ชวนหลงใหล โดยเฉพาะพันธุ์ยอดนิยมอย่าง

  • หมอนทอง ที่หวานมันกลมกล่อม
  • ชะนี ที่เนื้อนุ่มละมุน
  • พวงมณี ที่มีรสชาติเข้มข้นเฉพาะตัว

ทุเรียนไม่เพียงเป็นที่รักของคนไทย แต่ยังครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง ที่ยอมจ่ายในราคาสูงเพื่อลิ้มรสความอร่อยนี้ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความน่ารื่นรมย์ของทุเรียนนั้นซ่อนข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากบริโภคอย่างไม่ระวัง ราชาผลไม้นี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้มากกว่าที่คิด

โภชนาการของทุเรียน "อร่อยแต่พลังงานสูง"

ตามข้อมูลจาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ทุเรียน 100 กรัม หรือประมาณ 2 เม็ดขนาดกลาง ให้พลังงานสูงถึง 150–180 กิโลแคลอรี ซึ่งเทียบเท่ากับข้าวขาว 1 ทัพพี หรือหมูปิ้ง 2 ไม้เลยทีเดียว นอกจากนี้ ทุเรียนยังมีปริมาณไขมันค่อนข้างสูง โดยเฉพาะ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats) ที่พบในปริมาณ 5–13 กรัม / 100 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นไขมันดีที่ช่วยบำรุงหัวใจ แต่หากกินมากเกินไปหรือต่อเนื่องนาน ๆ อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน และ โรคหลอดเลือดหัวใจ

ที่น่าจับตามากกว่านั้นคือ ปริมาณน้ำตาล ในทุเรียน ซึ่งสูงถึง 20–30 กรัม / 100 กรัม มากกว่าผลไม้ทั่วไปอย่างกล้วยหอม (ประมาณ 12–15 กรัม) มะม่วงสุก (13–15 กรัม) หรือส้ม (8–10 กรัม) ความหวานจากน้ำตาลธรรมชาตินี้ทำให้ทุเรียนกลายเป็นผลไม้ที่ต้องระวังสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหากกินตอนท้องว่างหรือกินคู่กับอาหารคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าวเหนียวหรือน้ำอัดลม ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมในช่วงฤดูกาลทุเรียน

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ทุเรียน ผลไม้ "ธาตุร้อน" ในหน้าร้อน 

ในมุมมองของ แพทย์แผนไทย ทุเรียนจัดเป็นอาหารที่มี "ธาตุร้อน" ซึ่งหมายถึงอาหารที่เมื่อกินเข้าไปแล้วอาจทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสะสม หากบริโภคในปริมาณมากหรือบ่อยครั้งเกินไป อาจนำไปสู่อาการเสียสมดุล เช่น ร้อนใน (แผลในปาก) เจ็บคอ อ่อนเพลีย หรือมีไข้ต่ำ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยจึงแนะนำให้จับคู่ทุเรียนกับอาหารหรือเครื่องดื่มที่มี "ฤทธิ์เย็น" เพื่อช่วยปรับสมดุลร่างกาย เช่น

  • น้ำมะพร้าว ซึ่งช่วยดับร้อนและเติมความชุ่มชื้นให้ร่างกาย
  • แตงโม หรือ มังคุด (ราชินีแห่งผลไม้) ซึ่งมีกากใยสูงและช่วยลดความร้อนในร่างกาย
  • น้ำเก๊กฮวย หรือ น้ำใบบัวบก ที่มีสรรพคุณเย็นและช่วยขับความร้อน

นอกจากนี้ การกินมังคุดคู่กับทุเรียน ยังมีประโยชน์ในแง่โภชนาการ เพราะมังคุดอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) และ วิตามินซี ซึ่งช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

กินทุเรียนกับแอลกอฮอล์ อันตรายจริงหรือ ?

หนึ่งในความเชื่อที่ฝังรากลึกในสังคมไทย คือ การกินทุเรียนพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้เสียชีวิตได้ ความเชื่อนี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางจนกลายเป็นคำเตือนในหมู่คนรักทุเรียน อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อปี 2563 พบว่า ทุเรียนมี สารกำมะถัน (Sulfur compounds) ในปริมาณสูง ซึ่งสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในตับที่ชื่อ ALDH (Aldehyde Dehydrogenase) ซึ่งมีหน้าที่สลายแอลกอฮอล์ในร่างกาย

ผลจากสารกำมะถันนี้ทำให้ร่างกายสลายแอลกอฮอล์ได้ช้าลง ส่งผลให้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงขึ้นกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการมึนเมา ความดันโลหิตสูง หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับ หรือ โรคหัวใจ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หมดสติ หรือ ช็อก ได้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าการกินทุเรียนกับแอลกอฮอล์ทำให้เสียชีวิตทันที ในคนที่มีสุขภาพปกติ แต่เพื่อความปลอดภัย แพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงการบริโภคทั้ง 2 อย่างพร้อมกัน โดยควรรออย่างน้อย 4–6 ชั่วโมงหลังดื่มแอลกอฮอล์ก่อนกินทุเรียน

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

แล้วต้องบริโภค "ทุเรียน"ยังไงให้ปลอดภัย

เพื่อให้การกินทุเรียนในช่วงฤดูกาลนี้ทั้งอร่อยและปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการจาก สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และ สมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย มีคำแนะนำดังนี้

  • ควบคุมปริมาณ คนทั่วไปควรกินทุเรียนไม่เกิน 150–200 กรัม/วัน (ประมาณ 2–3 เม็ดขนาดกลาง) ส่วนผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับตับและหัวใจ ควรกินไม่เกิน 100 กรัม หรือปรึกษาแพทย์ก่อน
  • กินหลังอาหาร ควรรับประทานทุเรียนหลังมื้ออาหารหลัก 1–2 ชั่วโมง เพื่อให้กระเพาะมีอาหารอื่นช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและไขมัน หลีกเลี่ยงการกินตอนท้องว่าง เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเกินไป
  • หลีกเลี่ยงกินก่อนนอน ทุเรียนใช้เวลาในการย่อยนาน (ประมาณ 3–4 ชั่วโมง) และอาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขณะหลับ ส่งผลต่อการนอนหลับและระบบเผาผลาญ ดังนั้นควรกินในช่วงกลางวันหรือบ่าย
  • จับคู่กับผลไม้กากใยสูง การกินทุเรียนคู่กับผลไม้อย่าง ฝรั่ง สับปะรด หรือ แก้วมังกร จะช่วยเพิ่มกากใย ลดการดูดซึมน้ำตาลและไขมัน และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลังกินทุเรียน ควรดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น เช่น น้ำใบบัวบก หรือน้ำมะพร้าว เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกายและป้องกันอาการท้องอืด
  • ระวังทุเรียนแปรรูป ทุเรียนทอด ทุเรียนกวน หรือทุเรียนแช่แข็งในน้ำเชื่อม มักมีน้ำตาลและไขมันเพิ่มจากกระบวนการผลิต ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อน้ำหนักเกินและโรคเรื้อรัง ควรเลือกทุเรียนสดที่สุกตามธรรมชาติจะดีกว่า
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

นอกจากความอร่อย "ทุเรียน" ยังมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย ในช่วงฤดูกาลทุเรียน ตลาดผลไม้ทั่วประเทศจะคึกคักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีชื่อเสียงด้านการปลูกทุเรียน เช่น จันทบุรี ระยอง และ ชุมพร ซึ่งเป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพสูงเพื่อส่งออก

ตามข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกทุเรียนมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท โดยจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุด คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ของการส่งออกทั้งหมด

ในแง่วัฒนธรรม ทุเรียนมักถูกนำมาใช้ในงานเทศกาลและประเพณี เช่น งาน เทศกาลทุเรียนจันทบุรี ที่จัดขึ้นทุกปีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเกษตรกรรม นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนานวัตกรรมจากทุเรียน เช่น ขนมทุเรียนอบแห้ง ไอศกรีมทุเรียน หรือแม้แต่กาแฟผสมกลิ่นทุเรียน ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวและคนรุ่นใหม่

อย่างไรก็ตาม การบริโภคทุเรียนอย่างยั่งยืนก็เป็นประเด็นที่เริ่มได้รับความสนใจ เนื่องจากความต้องการที่สูงขึ้นทำให้มีการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกสวนทุเรียนในบางพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว เกษตรกรและผู้บริโภคจึงถูกกระตุ้นให้สนับสนุนทุเรียนจากแหล่งปลูกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น สวนที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP

อ่านข่าวอื่น :

เร่งช่วย "ช้างป่ากุยบุรี" ขาหลังซ้ายบวม

กกต.เปิดแจ้งเบาะแสทุจริต "เลือกตั้งเทศบาล" รางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง