ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

สัญญาณ “ยุบสภา” คดีฮั้ว สว. “ทักษิณไม่ถอย-ภูมิใจไทยหน้าเดิน”

การเมือง
14 พ.ค. 68
18:01
396
Logo Thai PBS
สัญญาณ “ยุบสภา” คดีฮั้ว สว. “ทักษิณไม่ถอย-ภูมิใจไทยหน้าเดิน”

พลันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่สั่งให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่ รมว.ยุติธรรม เฉพาะในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ และรองประธานกรรมการคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2568 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี ผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

กล่าวคือ นายภูมิธรรม รอดจากคำสั่งดังกล่าว ส่วน พ.ต.อ.ทวี ต้องหยุดปฏิบัติทันที ในฐานะเป็น รมว.ที่กำกับดูแลดีเอสไอ ซึ่งอยู่ระหว่างการทำคดีพิเศษ หรือ คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. “ฟอกเงิน-อั้งยี่” เนื่องจากเกรงจะใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบ กลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำ สว. ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งถือว่าขัดหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม และอาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง

ควันฝุ่นทางการเมืองก็ตลบอบอวลอีกครั้ง โดยในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จะเห็นการไล่บี้คดีฮั้วเลือกตั้ง สว.อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และดีเอสไอ ได้ทยอยส่งหมายเรียกคดีฮั้ว สว. เพื่อให้ สว.ล็อตแรกจำนวน 53 คน เข้าชี้แจง และแก้ข้อกล่าวหาตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2561 ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาภายในวันที่ 19 พ.ค.นี้

ขณะที่การทำคดีของดีเอสไอก็เข้มข้นขึ้น ล่าสุด พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ โฆษกดีเอสไอ ระบุว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้สอบบุคคลที่เกี่ยวกับเส้นเงินไปแล้วกว่า 1,200 ราย และที่ผ่านมาทาง กกต. ได้เรียกพยานที่เคยเข้าไปร่วมในกระบวนการสอบข้อมูล โดยพยานกลุ่มนี้เคยร่วมเก็บตัวในกระบวนการ จนมีหลักฐานการรับเงินค่าจ้างจำนวน 20,000บาท

อย่างไรก็ตาม หากพลิกเบื้องหลังการเร่งทำคดีดังกล่าว ไม่ใช่เพียงมีการตั้งข้อสันนิษฐานจากขั้วการเมืองฝั่งตรงข้ามว่า พ.ต.อ.ทวี รับงานจาก “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายเก่าจากพรรคเพื่อไทย โดยใช้ดีเอสไอ เป็นเครื่องมือเพื่อเปิดเกมรุกไล่ทางการเมืองเท่านั้น

แต่ข้อเท็จจริง คือ ยังมีคีย์แมนหลักอีก 2 คนของพรรค ที่เป็นตัวช่วยและคอยชี้ช่องเรื่องการใช้ข้อกฎหมาย โดยเฉพาะอดีต บิ๊กดีเอสไอ ซึ่งหลังพ้นมลทินในคดีความต่าง ๆ ก็ได้เข้าไปช่วยงานด้านกฎหมายในพรรคอย่างเต็มตัว และบุคคลที่เป็นมือขวา อีกคนหนึ่งของทักษิณ ยังไม่รวมอดีตอัยการเก่า ที่ปรึกษาในฐานะคนสนิทของ “พ.ต.อ.ทวี” ที่คอยเข้าไปกำกับดูแลคดีนี้อย่างใกล้ชิด

ทั้งๆ ที่การที่ดีเอสไอ เรียก สว.ให้เข้ามาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหานั้น ยังถือว่าเป็นเพียงขั้นตอนแรกของ กกต. เท่านั้น และกว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาและสอบปากคำผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาให้แล้วเสร็จและครบถ้วนจะต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งยังเหลืออีกหลายขยัก และยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า คดีจะเสร็จสิ้นเมื่อใด และรัฐบาลจะอยู่จนครบวาระไปจนถึงการรอให้ ป.ป.ช.หรือศาลฯ ชี้มูลความผิดเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง สว.ได้หรือไม่

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ก่อนหน้านี้คดีชั้น 14 และคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.ได้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นประเด็นต่อรองทางการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย แต่เมื่อวันที่ 30 เม.ย.หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ ทักษิณ และผู้เกี่ยวข้องให้ชี้แจงพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ เกมการเมืองระหว่าง 2 ค่ายแดงและน้ำเงิน ก็ดุเดือดขึ้น

แม้การยุบสภาจะไม่ใช่คำตอบที่พรรคเพื่อไทยอยากทำ แต่การเลือกตั้งใหม่ ไม่ว่าพรรคใดก็ยังไม่พร้อมลงสนาม ดังนั้นทางเลือกที่ยังเหลือ ต่างฝ่ายต้องยอมถอย และกอดคออยู่กันไปให้ครบเทอม หรือเลือกการแตกหัก โดยพรรคเพื่อไทยสลัดทิ้งพรรคภูมิใจไทย และข้ามขั้วมาจับมือกับพรรคประชาชน ซึ่งมีความเป็นไปได้ แต่จะติดปัญหาเนื่องจากพรรคประชาชนเคยลั่นวาจาไว้ว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลและไม่ยอมจับมือด้วย

ดังนั้นทางรอดที่ยังเหลือของ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทย คือ ความพยายามยื้อคำตัดสินขอศาลฯ ออกไปให้ได้ 2-3 นัด และรอให้อดีต สส.ก้าวไกลจำนวน 44 คนถูก ป.ป.ช.ชี้มูลกรณีเสนอนโยบายแก้มาตรา 112 หาก ซึ่งกฎหมายระบุชัดว่า สส.จำนวน 25 คนจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และจะเหลือ สส.ในสภาประมาณ 468 คน หรือกึ่งหนึ่ง หรือจำนวน 235 คน เมื่อเข้าทางพรรคเพื่อไทยก็จะสามารถปรับพรรคภูมิใจไทยออกทันที

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลคดีดังกล่าว อย่างเร็วที่สุดในช่วงปลายเดือน มิ.ย.หรือช้าสุดเดือน ก.ค.นี้ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยคงจะไม่นิ่งเฉย และพยายามหาทางตอบโต้

เบื้องต้นพบว่า ค่ายสีน้ำเงินได้เตรียมการร่างหนังสือเพื่อเตรียมยื่นต่อประธานวุฒิสภาแล้ว หลังได้รับข้อมูลเรื่อง ตั๋วพีเอ็น สนามกอล์ฟอัลไพน์ และเรื่องโฉนดที่ดินโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่สร้างในพื้นที่ห้ามสร้าง เพื่อยื่นเรื่องส่งไปยังประธานวุฒิสภา และศาลรัฐธรรมนูญให้ยื่นถอดถอนให้พ้นตำแหน่งได้ทันทีเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า แต่ละฝ่ายต่างเร่งเครื่องแบบชนิดพร้อมชน เดินเกมเร็ว แรง และร้อนรน ท่ามกลางเร่งย้ายพรรค ย้ายค่ายกันอุตลุดของบรรดา สส.เสมือนได้รับการส่งสัญญาณเตรียมพร้อม

อ่านข่าว :

"ศร." สั่ง "ทวี " หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคุม "ดีเอสไอ - รอง ปธ.กก.คดีพิเศษ"

ปมร้อนการเมือง "เกมนอกสภาฯ เขย่าในสภาฯ"

มาเหนือ ฉก "กฤษฎิ์" สส.พรรคส้ม "ธรรมนัส" รุกลุ่มน้ำตะวันออก

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง