เมื่อวันที่ 5 พ.ค.2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศจะพูดคุยกับผู้แทนจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ หลังจากก่อนหน้านี้โพสต์ข้อความผ่านทางออนไลน์ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้า ร้อยละ 100 จากภาพยนตร์ที่ถ่ายทำนอกสหรัฐฯ แล้วนำมาฉายในประเทศ จึงสั่งการให้ Jamieson Greer ผู้แทนด้านการค้าของสหรัฐฯ เริ่มกระบวนการเก็บภาษีดังกล่าว เนื่องจากเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติและต้องการเพิ่มการจ้างงานจากการถ่ายทำและกระบวนการต่างๆ ในการผลิตภาพยนตร์ให้อยู่ภายในประเทศ
ขณะที่ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์หมายรวมถึงภาพยนตร์ทุกประเภท รวมภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศ แนวอาร์ท หรือภาพยนตร์ที่ฉายเฉพาะผ่านบริการสตรีมมิงด้วยหรือไม่
ข้อมูลจากสมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ อ้างอิงข้อมูลของรัฐบาลในปี 2023 ชี้ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์นำรายได้เข้าสหรัฐฯ จากตลาดใหญ่ทั่วโลกและเกินดุลการค้าทุกตลาด
แม้ว่าภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่ฉายในโรงภาพยนตร์สหรัฐฯ จะผลิตในสหรัฐฯ ตั้งแต่การเริ่มเขียนบท วางแผนการถ่ายทำ คัดเลือกนักแสดง ตัดต่อภาพและเสียง แต่ในระยะหลังฮอลลีวูดหันไปพึ่งพาผู้ผลิตในแต่ละประเทศที่ถ่ายทำมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนต่ำกว่า และในทางปฏิบัติ ภาพยนตร์แต่ละเรื่องอาจใช้บริการบริษัทต่างๆ ในทุกมิติของการผลิต เช่น visual effect จากหลายบริษัทที่เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจกระจายงานไปทั่วโลก
ปัจจุบัน อังกฤษ, ฮังการี, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, แคนาดาและประเทศอื่นๆ เสนอแรงจูงใจทางภาษี ซึ่งบริษัทภาพยนตร์รายใหญ่ เช่น Disney, Warner Bros., Universal Pictures รวมถึง Netflix และ Amazon ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ นอกจากนี้สถานที่ถ่ายทำในต่างประเทศมักจะมีค่าแรงที่ต่ำกว่า
ด้วยเหตุนี้ คนทำงานในวงการภาพยนตร์ชนชั้นกลางหลายพันคนในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพ, นักตกแต่งฉาก, ช่างไฟ, ช่างแต่งหน้า, ผู้จัดเลี้ยง, ช่างไฟฟ้า ต่างประสบปัญหาการว่างงาน ตามข้อมูลของสหภาพแรงงานนานาชาติของพนักงานโรงละครและเวที (International Alliance of Theatrical Stage Employees) งานเต็มเวลาประมาณ 18,000 ตำแหน่งได้หายไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนีย
อ่านข่าว
"ทรัมป์" สั่งเปิดเรือนจำอัลคาทราซ หลังปิดนานกว่า 60 ปี
พระคาร์ดินัลร่วมประชุมก่อนเลือก "พระสันตะปาปา" เริ่ม 7 พ.ค.นี้