วันนี้ (6 พ.ค.2568) พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา รับหนังสือร้องเรียนจาก สว.อำนาจเจริญ ร้องขอความเป็นธรรม หลังผู้สมัคร สว.ในพื้นที่อำนาจเจริญ ถูกเจ้าหน้าที่หกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกสอบสวนคดีฮั้วเลือก สว. แบบไม่เป็นธรรม มีลักษณะเลือกปฏิบัติ ไม่เป็นกลาง
ยกตัวอย่าง พนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ได้มีหนังสือราชการด่วนที่สุด เพื่อขอใช้อาคารเป็นที่สอบปากคำ และให้กำนันติดตามบุคคลมาให้ถ้อยคำ ต่อคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งหนังสือนี้ ระบุจำนวน 10 รายชื่อ ในวันที่ 10 เม.ย. แต่ไม่ได้ส่งหนังสือในช่องทางปกติ ตามระเบียบราชการ เป็นการส่งผ่านไลน์
เอกสารดังกล่าวไม่มีลายมือชื่อ ตราครุฑ จึงเกรงว่า จะถูกนำไปใช้โดยมิชอบ อีกทั้งยังไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ไม่ออกหมายเรียกหรือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียกล่วงหน้าเพียงหนึ่งวัน และยังถูกสอบปากคำเป็นเวลานานผิดปกติ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิทรมานจิตใจ เพื่อให้ข้อมูล หรือรับสารภาพบางอย่าง จึงอาจเข้าข่ายตามความผิดของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
มีการสอบสวนในลักษณะข่มขู่คุกคาม เดินทางไปยังบ้านของผู้ถูกสอบสวนโดยพลการ ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่แสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ไม่มีหมายค้น ทั้งยังไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าบ้าน
ลักษณะดังกล่าว คือการบุกรุกเคหสถาน และเมื่อผู้ถูกสอบสวน ต้องการเรียกบุคคลอื่นเข้ามาเป็นพยาน กลุ่มบุคคลดังกล่าวก็หลบหนีออกไป แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่ไม่โปร่งใสตรงไปตรงมา ของผู้ที่อ้างว่าเป็นบุคคลของรัฐ และเมื่อผู้ถูกสอบสวนโทรศัพท์กลับไป ก็ถูกปฏิเสธว่า โทรผิด เป็นการพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่เปิดเผยตัวตนแท้จริง
ผู้ร้องเรียนระบุต่อว่า นอกจากนี้ ยังถูกบังคับขู่เข็นให้รับสารภาพ ให้ถอดกล้องวงจรปิด เพื่อไม่ให้บันทึกภาพ และใช้กลอุบายกล่าวอ้างว่า บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง รับสารภาพกันหมดแล้ว เพื่อกดดันให้เกิดความกลัว และยอมรับสภาพตามที่ต้องการ และยังมีการซักถามแบบชี้นำ ให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วมฟังการสอบสวน และการถามเป็นการถามนำแบบมีธงในใจ และโน้มน้าวให้ยอมรับว่า การฮั้วเลือกตั้ง สว. มีพรรคการเมืองหนึ่งสนับสนุน ซึ่งคงเป็นที่เข้าใจกันดีว่า น่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย
ยิ่งกว่านั้น มีบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี และเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง สามารถเข้าออกบริเวณที่มีการสอบสวนได้อย่างอิสระ คล้ายกลับได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษ ผิดวิสัยของการสอบสวนปกติ ที่จะต้องทำเฉพาะผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น เชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่นัดหมายให้บุคคลดังกล่าว มาแทรกแซงการสอบสวนล่วงหน้า ขาดความเป็นกลางอย่างร้ายแรงในการแสวงหาข้อเท็จจริง
ภาพรวมกระบวนการสอบสวน มีลักษณะผิดปกติหลายประการ ขอสังเกตว่า มีการมุ่งเป้าสอบสวนไปยังบุคคลบางกลุ่มโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง หรือนักการเมือง รวมถึงการที่ใช้บุคคลฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่เกี่ยวข้อง มาใช้ในการสอบสวน ทั้งยังมีการตั้งสมมติฐานล่วงหน้า ที่มีความผิดเชื่อมโยงกับพรรคการเมือง ขาดความโปร่งใสในการดำเนินการ ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกตรวจสอบมีเวลาเตรียมตัว หรือชี้แจงเต็มที่ เร่งรัดเวลาไม่เหมาะสม และยังมีพยานหลายคนในพื้นที่ถูกข่มขู่
ทั้งนี้ จะส่งเอกสารหลักฐานเหล่านี้ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักฐานเพิ่มเติมจากคำร้องเดิม ที่เคยไปยื่นมาก่อนหน้านี้ ส่วนจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับ 2 องค์กรข้างต้น
ผมไม่หนี คุณจะร้อง คุณจะสอบอะไร ก็ทำเรื่องมา เราพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง เราก็โดนเรียกกันไปหลายคนแล้ว เราให้ความร่วมมือกับผู้ที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง
อดีตผู้สมัคร สว.คนหนึ่งกล่าว
ส่วนกรณีมีการพุ่งเป้าถึงพรรคภูมิใจไทยในนั้น พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า การสอบสวนของตำรวจ จะไม่มีการล็อกเป้า ต้องสอบจากพยานหลักฐาน และสอบพยานทุกคน จึงไล่ลงมาว่าใครเกี่ยวข้องบ้าง แต่การสอบสวนของดีเอสไอตนเองยังติดใจ ที่บอกว่า มีสมมติฐาน 300 ล้านบาทนั้น เอาของจริงมาดีกว่า อย่าสมมติฐาน ส่วนการสอบสวนก็ต้องรับผิดชอบการกระทำที่เกินอำนาจหน้าที่ด้วย
เมื่อถามย้ำว่า “ดีเอสไอ” ส่งข้อมูลวิเคราะห์ ให้ กกต. พิจารณาและมีข้อมูลเส้นทางการเงิน สะพัดตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท กังวลหรือไม่ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ กล่าวว่า คนเก่งก็ทำได้ ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะหัวเราะ และหันมาบอกผู้สื่อข่าวว่า หัวเราะแบบนี้เหรอกังวล
อ่านข่าว :