การเดินทางไปต่างประเทศเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น แต่สำหรับผู้ที่ต้องพกยารักษาโรคหรือผลิตภัณฑ์จากกัญชา ความไม่รู้เกี่ยวกับกฎหมายของประเทศปลายทางอาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ได้ เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2568 นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกมาเตือนคนไทยให้ระมัดระวังการพกยาและผลิตภัณฑ์ที่อาจผิดกฎหมายในต่างประเทศ เพื่อป้องกันการถูกดำเนินคดีที่อาจส่งผลร้ายแรงต่อทั้งการเดินทางและชีวิตส่วนตัว
ยาที่คนไทยใช้กันเป็นประจำ เช่น ยาแก้แพ้ที่มีส่วนผสมของโคเดอีน หรือยานอนหลับบางชนิด อาจถูกจัดเป็นยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์ในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีกฎหมายควบคุมยาที่เข้มงวดมาก
นพ.สุรโชค อธิบายว่ายาที่คิดว่าธรรมดา อาจมีสารออกฤทธิ์ที่ถูกควบคุมในต่างประเทศ ดังนั้น การตรวจสอบสารออกฤทธิ์ (Active Ingredient) ในยาให้ชัดเจนจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ
นอกจากนี้ แต่ละประเทศมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน เช่น
- ญี่ปุ่น ห้ามนำยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือยานอนหลับบางชนิดเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
- สิงคโปร์ การพกยาที่มีโคเดอีน เช่น ยาแก้ไอ ต้องมีใบรับรองแพทย์และแจ้งล่วงหน้า
- สหรัฐอเมริกา ยาควบคุมบางประเภทต้องมีเอกสารรับรองจากแพทย์และยื่นขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อ่านข่าว : 20 พ.ค. คุ้มครองผู้โดยสารบินนอก "ดีเลย์-ยกเลิก" จ่ายสูงสุด 4,500
ผลิตภัณฑ์กัญชา ความเสี่ยงที่คนไทยมองข้าม
ในประเทศไทย การใช้กัญชาในทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชาได้รับการยอมรับในบางกรณี แต่ในหลายประเทศ เช่น จีน เกาหลีใต้ หรืออินโดนีเซีย กัญชายังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง การพกช่อดอกกัญชาแห้ง น้ำมันกัญชา หรือแม้แต่อาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา เช่น ขนมหรือเครื่องดื่ม อาจนำไปสู่บทลงโทษร้ายแรง เช่น การถูกจับกุม ปรับเป็นเงินจำนวนมาก หรือแม้แต่โทษจำคุก
เราเคยได้รับรายงานกรณีคนไทยถูกจับในต่างประเทศเพราะพกผลิตภัณฑ์กัญชาโดยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งต้องห้าม
นอกจากนี้ นพ.สุรโชค ยังแนะนำว่าหากไม่แน่ใจ ควรหลีกเลี่ยงการพกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปต่างประเทศโดยเด็ดขาด
อย. ได้แนะนำแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องพกยาไปต่างประเทศ ดังนี้
- ตรวจสอบสารออกฤทธิ์ (Active Ingredient) ดูที่ส่วนประกอบของยา มากกว่าชื่อการค้า เพราะยาเดียวกันอาจมีชื่อต่างกันในแต่ละประเทศ
- ศึกษากฎหมายของประเทศปลายทาง ติดต่อสถานทูตของประเทศนั้นในประเทศไทย หรือตรวจสอบผ่านเว็บไซต์หน่วยงานอาหารและยาของประเทศปลายทาง
- เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เช่น ใบรับรองแพทย์ ระบุชื่อยา ปริมาณ เหตุผลที่ต้องใช้ และลายเซ็นแพทย์
- ฉลากยาเดิม อย่านำยาออกจากบรรจุภัณฑ์เดิมหรือแบ่งใส่ซองโดยไม่มีฉลาก
- ใบสั่งยา จากแพทย์ เพื่อยืนยันว่ายานั้นจำเป็นสำหรับการรักษา
- ขออนุญาตล่วงหน้า (ถ้าจำเป็น) บางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย หรือกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป อาจกำหนดให้ยื่นขออนุญาตนำยาเข้าประเทศล่วงหน้าผ่านสถานทูตหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยาที่ต้องการพกไปต่างประเทศ อย. แนะนำให้ติดต่อ
- สถานทูตของประเทศปลายทางในประเทศไทย เพื่อสอบถามกฎหมายและข้อกำหนด
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผ่านเว็บไซต์ https://narcotic.fda.moph.go.th/news-update/news-update-27/
- สายด่วน อย. 1556
- หน่วยงานอาหารและยาของประเทศปลายทาง ซึ่งมักมีข้อมูลเกี่ยวกับยาควบคุมและขั้นตอนการนำเข้า
อย่าซื้อยาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะยาที่ซื้อจากร้านค้าออนไลน์หรือแหล่งที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจมีส่วนผสมที่ไม่ระบุชัดเจน เสี่ยงต่อการถูกตรวจพบว่าเป็นยาเสพติด หลีกเลี่ยงการพกยาเกินความจำเป็น การนำยาไปในปริมาณที่เหมาะสมกับระยะเวลาการเดินทาง และมีเอกสารยืนยันเหตุผล และให้ระวังผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่อาจมีส่วนผสมที่ถูกควบคุมในต่างประเทศ เช่น สารสกัดจากพืชบางชนิด
การเตรียมตัวอย่างรอบคอบก่อนเดินทางไม่เพียงช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย แต่ยังทำให้การเดินทางราบรื่นและสนุกสนานยิ่งขึ้น อย. เน้นย้ำว่า "ความไม่รู้ไม่ใช่ข้อแก้ตัวในต่างประเทศ" ดังนั้น การตรวจสอบข้อมูลล่วงหน้าและเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
อ่านข่าวอื่น :
พบศพหญิงวัย 89 ปี ถูกฆาตกรรมยัดกระสอบทิ้งทุ่งกก เร่งตามตัววิน จยย.สอบ
"โรดริโก ดูเตอร์เต" จ่อคว้านายกเทศมนตรีดาเวา แม้ถูกขังคุกศาล ICC