ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

อีสปในสภา! "งูเห่า" ฉายา สส. ย้าย "ภักดิ์" สะท้อนการเมืองไทย

สังคม
14 พ.ค. 68
11:47
11
Logo Thai PBS
อีสปในสภา! "งูเห่า" ฉายา สส. ย้าย "ภักดิ์" สะท้อนการเมืองไทย
"งูเห่า" กลายเป็นฉายาที่ฝังแน่นในวงการเมืองไทย เรียก สส. ที่ย้ายพรรคหรือลงมติสวนมติพรรคต้นสังกัด คำนี้เริ่มจาก สมัคร สุนทรเวช อดีต หน.พรรคประชากรไทย เปรียบ สส. ทรยศเหมือนงูเห่าในนิทานอีสป ที่กัดคนที่ช่วยเหลือ ชวนสำรวจที่มาและความหมายในบริบทการเมืองไทย

นิทานอีสป "ชาวนากับงูเห่า"

มีชาวนาคนหนึ่งพบงูเห่าที่กำลังจะใกล้ตายในฤดูหนาว ด้วยความสงสาร เขาจึงเก็บงูเห่ามาอังไว้ที่อกเพื่อให้ความอบอุ่น แต่เมื่องูเห่าหายหนาวและฟื้นคืนพลัง มันกลับฉกชาวนาจนเสียชีวิต นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การให้ความช่วยเหลือสิ่งที่อาจเป็นอันตรายโดยไม่ระวัง และความเนรคุณของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ แต่กลับทำร้ายผู้มีพระคุณ เรื่องราวนี้กลายเป็นรากฐานของฉายา "งูเห่า" ในทางการเมืองไทย ที่ใช้เปรียบเปรยนักการเมืองที่ทรยศหรือไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้สนับสนุน

นิทานสู่ความจริง "สภากับงูเห่า" 

คำว่า "งูเห่า" เข้ามาสู่วงการการเมืองไทยในปี 2540 เมื่อ "สมัคร สุนทรเวช" อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชากรไทย ในขณะนั้น ใช้เปรียบเปรย สส. ในพรรคของเขาที่ลงมติสนับสนุน "ชวน หลีกภัย" จากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ขัดกับมติพรรคที่ตกลงสนับสนุนนายกฯ จากพรรคความหวังใหม่

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่การจัดตั้งรัฐบาลมีความเปราะบาง และการลงมติของ สส. เพียงไม่กี่คนสามารถเปลี่ยนผลการเลือกนายกฯ ได้ อดีตนายกฯ สมัคร มองว่า สส. เหล่านี้ทรยศพรรคที่ให้โอกาสและสนับสนุน จึงเปรียบพวกเขาเหมือน "งูเห่า" ในนิทานที่กัดผู้มีพระคุณ คำเปรียบเปรยนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นฉายาที่ใช้เรียก สส. ที่ย้ายพรรคหรือลงมติสวนมติพรรคอย่างแพร่หลาย

บริบทการเมืองไทย "งูเห่า" ไม่ได้จำกัดแค่ สส. ที่ลงมติสวนมติพรรคเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง สส. หรือนักการเมืองที่ย้ายพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือกลุ่ม โดยเฉพาะในช่วงที่การเมืองมีความผันผวน เช่น การยุบพรรค การเลือกตั้งใหม่ หรือการจัดตั้งรัฐบาลแบบ "เสียงปริ่มน้ำ" ที่พรรครัฐบาลมีที่นั่งในสภาไม่มากนัก การย้ายพรรคหรือเปลี่ยนข้างของ สส. เพียงไม่กี่คนอาจพลิกดุลอำนาจ

ทำให้คำว่า "งูเห่า" มักถูกใช้ในแง่วิจารณ์และประณาม ด้วยความหมายที่สื่อถึงการทรยศ ความไม่ซื่อสัตย์ และการขาดความภักดีต่อพรรคหรือผู้สนับสนุน

ผลงานในอดีตของ "งูเห่า"

  • กลุ่มงูเห่าปากน้ำ (ปี 2540) จุดเริ่มต้นของฉายา เมื่อ สส. ในพรรคของ สมัคร สุนทรเวช นำโดย วัฒนา อัศวเหม โหวตสนับสนุน ชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ สวนมติพรรค สร้างความไม่พอใจและทำให้ สมัคร ออกมาใช้คำว่า "งูเห่า" เป็นครั้งแรก

  • กลุ่มงูเห่าเนวิน (ปี 2551) หลังพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง แต่ สมัคร สุนทรเวช ต้องพ้นตำแหน่งเนื่องจากถูกศาลตัดสินว่าผิดจริยธรรม กรณีรับเงินจากรายการทีวี ทำให้ต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ เนวิน ชิดชอบ ผู้นำกลุ่มเพื่อนเนวินในพรรคพลังประชาชน ต้องการสนับสนุน สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ อีกครั้ง แต่พรรคเลือก สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลังพรรคพลังประชาชนถูกยุบในเดือน ธ.ค.2551 เนวินนำ สส. 23 คนย้ายไปตั้งพรรคภูมิใจไทย และสนับสนุนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ แทนพรรคเพื่อไทย ระหว่างเจรจากับทักษิณ ชินวัตร เนวินกล่าววลี "มันจบแล้วครับนาย" เพื่อตัดขาดการสนับสนุน

  • กลุ่มงูเห่าอนาคตใหม่ (ปี 2563) หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ สส. บางส่วนย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐในฝั่งรัฐบาล การย้ายครั้งนั้นถูกมองว่าเป็นการทรยศอุดมการณ์ของพรรคที่เน้นการปฏิรูป และ สส. เหล่านี้ถูกเรียกว่า "กลุ่มงูเห่า" อย่างกว้างขวาง

  • กลุ่มงูเห่าไทยสร้างไทย (ปี 2568) สส. บางคนจากพรรคไทยสร้างไทย โหวตสวนมติพรรคในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลหรือร่างกฎหมาย เกิดกระแสวิจารณ์ "งูเห่า" อีกครั้ง 

นอกจากนี้ คำว่า "งูเห่า" ไม่จำกัดแค่ระดับชาติ แต่ยังใช้ในระดับท้องถิ่น เช่น สมาชิกสภาท้องถิ่นที่ย้ายข้างหรือลงมติสวนกลุ่ม ทำให้เกิดความขัดแย้งในสภาท้องถิ่น

ปัจจัยอะไรทำคลอด "งูเห่า"

ระบบพรรคการเมืองที่อ่อนแอ พรรคการเมืองไทยหลายพรรคขาดอุดมการณ์ที่ชัดเจนหรือการบริหารจัดการที่เข้มแข็ง สส. จึงมักย้ายพรรคเพื่อรักษาอำนาจหรือผลประโยชน์ส่วนตัว

การยุบพรรค การยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ เช่น พรรคไทยรักไทย (2550) อนาคตใหม่ (2563) และก้าวไกล (2567) บังคับให้ สส. ต้องหาพรรคใหม่เพื่อรักษาตำแหน่ง การย้ายพรรคในสถานการณ์เช่นนี้มักถูกตีตราว่าเป็น "งูเห่า"

รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ในช่วงที่รัฐบาลมีคะแนนเสียงในสภาใกล้เคียงกับฝ่ายค้าน เช่น รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2562-2566 การย้ายพรรคของ สส. เพียงไม่กี่คนสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้

วัฒนธรรมอุปถัมภ์ การเมืองไทยมักเน้นความสัมพันธ์ส่วนตัวและผลประโยชน์มากกว่าอุดมการณ์ สส. บางคนย้ายพรรคเพื่อเข้าถึงทรัพยากร ตำแหน่ง หรือการสนับสนุนจากกลุ่มอำนาจ

แรงกดดันทางการเมือง สส. บางคนเผชิญแรงกดดันจากกลุ่มผลประโยชน์หรือภัยคุกคาม เช่น คดีความ ทำให้ต้องย้ายพรรคเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง

ปรากฏการณ์ "งูเห่า" ไม่ได้มีเพียงมุมมองด้านลบ แต่ยังมีมิติอื่น ๆ ที่น่าสนใจศึกษาเพิ่มเติม อาทิเช่น มุมมองสังคม สื่อ และประชาชนผู้สนับสนุน มักมองว่านักการเมืองที่เป็น งูเห่า เป็นคนขาดจริยธรรมและเนรคุณ ทรยศพรรคและผู้สนับสนุน โดยเฉพาะเมื่อการย้ายพรรคเพื่อตำแหน่งหรือผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น การเป็นรัฐมนตรีหรือได้รับงบประมาณเพิ่ม 

ในขณะที่มิติของผู้ปกป้องมองว่าการตัดสินใจของ สส. บางคนที่ถูกเรียกว่า "งูเห่า" อาจเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน หรือเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล มิติเชิงระบบเองนั้นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ชี้ว่า การเกิดงูเห่าเป็นผลจากระบบการเมืองที่ไม่เอื้อให้ สส. มีอิสระในการตัดสินใจ หรือจากโครงสร้างพรรคที่ขาดความเป็นประชาธิปไตยภายใน 

อนาคตของ "งูเห่า"

ตราบใดที่การเมืองไทยยังมีการยุบพรรคบ่อยครั้ง ระบบพรรคการเมืองยังอ่อนแอ และวัฒนธรรมอุปถัมภ์ยังครอบงำ ฉายา "งูเห่า" น่าจะยังคงถูกใช้กับ สส.ผู้ทรงเกียรติที่ย้ายค่ายกันต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม การลดปรากฏการณ์นี้ อาจต้องอาศัย

  • การปฏิรูประบบพรรค สร้างอุดมการณ์ชัดเจนและบริหารจัดการอย่างโปร่งใส เพื่อลดแรงจูงใจในการย้ายพรรค
  • กลไกควบคุม เช่น กฎหมายที่จำกัดการย้ายพรรคในช่วงเวลาวิกฤต หรือเพิ่มบทลงโทษสำหรับการซื้อตัว สส.
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน เพิ่มความตระหนักของประชาชนในการตรวจสอบนักการเมือง เพื่อกดดันให้ สส. ยึดมั่นในความภักดีต่อผู้เลือกตั้ง

นิทาน "ชาวนากับงูเห่า" ที่ดูเรียบง่าย วันนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังในวงการเมืองไทย คำว่า "งูเห่า" ไม่เพียงสะท้อนความเนรคุณหรือการทรยศ แต่ยังชี้ให้เห็นความซับซ้อนของความภักดี อำนาจ และผลประโยชน์ในเกมการเมือง ที่ยังคงเป็นประเด็นให้ถกเถียงและจับตาต่อไปในอนาคตของการเมืองไทย ดั่งเนื้อเพลงดังที่ว่า "นิทานมันบอกให้ยอมรับความจริง ว่ามีบางสิ่งไม่ควรไว้ใจ"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง