เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2568 ครม. ซึ่งมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ.2568 เป้าหมายคือให้กระทรวงการคลังออก โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล หรือที่เรียกว่า G-Token (Government Token) วงเงินเริ่มต้น 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือใหม่ในการหาเงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2568
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) อธิบายว่า G-Token จะช่วยให้รัฐบาลหาเงินได้สะดวกขึ้น และเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนลงทุนในสิ่งที่ปลอดภัยและได้ผลตอบแทนดี แถมยังใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่ทำให้ทุกอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว
G-Token คืออะไร ?
ลองนึกภาพ "พันธบัตรออมทรัพย์" ที่เราเคยเห็นธนาคารขาย แต่ G-Token เป็นเวอร์ชันดิจิทัลที่ซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า "บล็อกเชน" ซึ่งเหมือนสมุดบัญชีดิจิทัลที่ทุกคนตรวจสอบได้ว่าเงินไปไหนมาไหน
G-Token ไม่ใช่เงินดิจิทัล หรือ คริปโต เคอร์เรนซี แบบที่ใช้จ่ายในร้านค้าได้ และไม่เกี่ยวอะไรกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่รัฐบาลเคยพูดถึง
แต่เป็นเหมือนการลงทุนที่รัฐบาลออกมา ให้ประชาชนซื้อ โดยสัญญาว่าจะจ่ายผลตอบแทนให้แน่นอน G-Token มีจุดเด่นคือเริ่มลงทุนได้ด้วยเงินไม่มาก ประมาณ 20,000 บาท และมีระยะเวลาการลงทุนสั้น ๆ ไม่เกิน 1 ปี ทำให้เหมาะกับคนที่อยากได้ผลตอบแทนดีกว่าฝากเงินธนาคาร แต่ไม่ต้องรอนานเหมือนพันธบัตรบางตัว ที่สำคัญ รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินไม่หายแน่นอน
ซื้อ G-Token ยังไง ?
ถ้าอยากซื้อ G-Token ต้องมีบัญชีกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือผ่านแอปฯ ของบริษัทหลักทรัพย์ที่เข้าร่วมโครงการ ขั้นตอนง่าย ๆ เหมือนซื้อของออนไลน์ ซึ่งในขณะนี้ (14 พ.ค.2568) ยังไม่พบรายชื่อศูนย์ซื้อขาย
- สมัครบัญชีกับแพลตฟอร์มที่กำหนด
- โอนเงินเข้าบัญชี แล้วเลือกซื้อ G-Token ตามจำนวนที่ต้องการ
- รอรับผลตอบแทนเมื่อครบกำหนด หรือขายในตลาดรองถ้าต้องการเงินคืนก่อน
ข้อมูลจาก สบน. คาดการณ์ว่า G-Token จะเริ่มขายครั้งแรกในเดือน ก.ค.2568 แต่เปิดทำการอย่างเป็นทางการเดือน พ.ย.2568 โดยกระทรวงการคลังจะระบุอัตราผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ยต่อปี และช่องทางการซื้อให้ชัดเจน ประชาชนสามารถถือไว้จนครบกำหนดเพื่อรับเงินต้นคืนพร้อมผลตอบแทน หรือขายให้คนอื่นในตลาดรองถ้าต้องการเงินด่วน ซึ่งต่างจากพันธบัตรบางประเภทที่ต้องรอ 6 เดือนถึงจะขายได้

ข้อดีของ G-Token
- ลงทุนง่าย ทุกคนเข้าถึงได้ ผู้ที่สนใจไม่จำเป็นต้องเป็นนักลงทุนรายใหญ่ แค่มีเงิน 20,000 บาทก็ซื้อได้ และทำธุรกรรมผ่านมือถือ ไม่ต้องไปธนาคาร
- ปลอดภัย รัฐบาลเป็นผู้ออกและค้ำประกัน โอกาสเสียเงินแทบไม่มี
- ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก เพราะอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าฝากธนาคารทั่วไป เหมาะกับคนที่อยากให้เงินงอกเงย
- ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีการใช้บล็อกเชน ทำให้ระบบการเงินของไทยทันสมัยขึ้น สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล
- โปร่งใสและรวดเร็ว บล็อกเชนช่วยให้ทุกธุรกรรมตรวจสอบได้ ลดโอกาสทุจริต และซื้อขายไว ไม่ต้องรอนาน
- สภาพคล่องดี ถ้าต้องการเงินคืน สามารถขาย G-Token ในตลาดรองได้ทันที ไม่ต้องรอครบกำหนด
ข้อเสียและสิ่งที่ต้องระวัง
- ราคาอาจผันผวนในตลาดรอง แม้รัฐบาลจะค้ำประกันเงินต้นและผลตอบแทน แต่ถ้าขายในตลาดรอง ราคาอาจขึ้นลงตามความต้องการของตลาด
- ต้องใช้เทคโนโลยี คนที่ไม่ถนัดแอปฯ หรือเว็บไซต์ อาจรู้สึกว่ายุ่งยาก ต้องเรียนรู้วิธีสมัครและซื้อผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
- ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ถ้าระบบบล็อกเชนหรือแพลตฟอร์มถูกแฮก อาจมีปัญหา แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามป้องกันเต็มที่
- ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น การพัฒนาระบบบล็อกเชนและแพลตฟอร์มต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในช่วงแรก ซึ่งอาจกระทบงบประมาณ
- ผลตอบแทนไม่สูงเท่าหุ้น แม้จะดีกว่าเงินฝาก แต่ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าการลงทุนเสี่ยงสูง เช่น หุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซี
แล้วทำไม ครม. แพทองธาร เลือกใช้ G-Token ?
- ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น โดย น.ส.แพทองธาร ระบุว่ารัฐบาลอยากให้คนไทยทุกคน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน ได้ลองลงทุนในสิ่งที่ปลอดภัยและเข้าใจง่าย ลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนทั่วไป
- สนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะรัฐบาลแพทองธารเน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ G-Token เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่ทำให้ไทยทันสมัยและแข่งขันกับโลกได้
- หาเงินได้เร็วและถูกกว่า การออก G-Token เร็วกว่าพันธบัตรแบบเดิม และลดค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสารหรือขั้นตอนต่าง ๆ
- ทดลองก่อนขยายใหญ่ วงเงิน 5,000 ล้านบาทเป็นเหมือนการทดสอบ ถ้าประสบความสำเร็จ รัฐบาลอาจออก G-Token เพิ่มในอนาคต
- สร้างความมั่นใจให้ประชาชน การที่รัฐบาลค้ำประกันและใช้ระบบโปร่งใส ทำให้คนกล้าลงทุนมากขึ้น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
สบน. วางแผนจะเริ่มขาย G-Token ภายในปีงบประมาณ 2568 โดยจะทำงานร่วมกับ ก.ล.ต. และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อกำหนดวิธีการขายที่สะดวกและเหมาะสม เช่น อาจมีแอปพิเศษสำหรับซื้อ G-Token หรือให้ธนาคารบางแห่งช่วยจำหน่าย รัฐบาลจะประชาสัมพันธ์ข้อมูลชัดเจน เช่น อัตราผลตอบแทน วันเริ่มขาย และวิธีสมัครบัญชี คาดว่าหลังจากนี้จะมีการอบรมหรือแนะนำวิธีใช้สำหรับคนที่ไม่ถนัดเทคโนโลยี เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสลงทุน
รู้หรือไม่ : ข้อมูลจนถึงวันนี้ (14 พ.ค.2568) ไทยพีบีเอสออนไลน์ ยังไม่พบข้อมูล ประเทศใดในโลกออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาลในลักษณะเดียวกับ G-Token ทำให้ประเทศไทยอาจเป็นผู้นำในด้านนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก อย่างสหรัฐฯ หรือจีน มีการทดลองพันธบัตรดิจิทัลบนบล็อกเชน เช่น โครงการ Bond-i ของธนาคารโลกในปี 2561 แต่ยังไม่แพร่หลาย เนื่องจากติดอุปสรรคหลายประการ เช่น กฎหมายเงินดิจิทัลยังไม่พร้อม, ความเชื่อมั่นในพันธบัตรแบบดั้งเดิม, ความซับซ้อนของเทคโนโลยี เป็นต้น
อ่านข่าวอื่น :