สารหนู (Arsenic) เป็นธาตุเคมีที่พบในธรรมชาติ เช่น ในดิน หิน และน้ำ โดยเฉพาะน้ำบาดาล มันเป็นสารที่อาจเป็นพิษต่อร่างกายหากได้รับในปริมาณมากหรือนานเกินไป สารหนูมีสองแบบหลัก สารหนูอนินทรีย์ ซึ่งพบในน้ำบาดาล ดิน หรือฝุ่นจากโรงงาน มีพิษสูงและอาจทำให้ป่วยหนัก เช่น เป็นมะเร็งหรือเสียชีวิต และ สารหนูอินทรีย์ ซึ่งพบในปลาทะเล หอย หรือกุ้ง มีพิษน้อย ร่างกายขับออกได้ใน 2-3 วัน
ในภาษาไทย บางคนเข้าใจผิดว่าสารหนูคือ "ยาฆ่าหนู" แต่จริง ๆ คือธาตุที่อาจปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและอาหาร
"สารหนู" มาจากไหน ?
สารหนูมาจากทั้งแหล่งธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ ในธรรมชาติ สารหนูอยู่ในหินและดิน เมื่อน้ำฝนหรือน้ำใต้ดินไหลผ่าน มันจะละลายสารหนูลงสู่แหล่งน้ำ เช่น น้ำบาดาล แม่น้ำ หรือทะเลสาบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแร่ธาตุสูง เช่น ภาคเหนือและอีสานของไทย การปะทุของภูเขาไฟหรือการเคลื่อนตัวของพื้นโลกก็ปล่อยสารหนูในอากาศและน้ำได้
ส่วนจากมนุษย์ สารหนูมาจากโรงงาน เช่น การขุดเหมืองแร่ ถลุงโลหะ (ทองแดง ตะกั่ว) ผลิตแก้ว เซรามิก หรือยารักษาไม้ โรงงานเหล่านี้ปล่อยน้ำเสียหรือฝุ่นที่มีสารหนูลงสู่สิ่งแวดล้อม ในเกษตรกรรม ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรืออาหารสัตว์ปีกอาจมีสารหนู ซึ่งตกค้างในดินและพืช เช่น ข้าวหรือผัก
อดีต สารหนูเคยถูกใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง หรือ ซิฟิลิส ปัจจุบันใช้ในยารักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด เช่น Arsenic Trioxide แต่ยาสมุนไพรบางชนิดในไทยอาจมีสารหนูปนเปื้อนจากส่วนผสมที่ไม่ได้มาตรฐาน การรู้แหล่งที่มาช่วยให้หลีกเลี่ยงได้ดีขึ้น
"สารหนู" เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร ?
สารหนูเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ทางที่พบบ่อยคือ การกินหรือดื่ม เช่น น้ำบาดาลที่ไม่ได้กรอง ข้าว ผัก หรือผลไม้ที่ปลูกในดินปนเปื้อน การหายใจ ก็เป็นช่องทางหนึ่ง เช่น สูดฝุ่นจากโรงงานหรือเหมือง คนที่ทำงานในไร่ที่ใช้ยาฆ่าแมลงอาจสัมผัสสารหนูผ่านผิวหนังเมื่อจับดินหรือน้ำที่มีสารหนู สารหนูยังสามารถผ่านรกจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ทำให้เด็กในท้องเสี่ยงตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะในชุมชนที่ใช้น้ำบาดาล เมื่อสารหนูเข้ามา ร่างกายจะดูดซึมจากกระเพาะและลำไส้ถึงร้อยละ 90 ทำให้มันแพร่ไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ร่างกายจัดการ "สารหนู" อย่างไร ?
เมื่อสารหนูเข้าร่างกาย ร่างกายจะพยายามขับมันออกทางปัสสาวะใน 3 ช่วง
- ช่วงแรก คือ 2-3 ชั่วโมงแรก หลังได้รับสารหนู ร่างกายขับออกถึงร้อยละ 90 ภายใน 1-2 ชั่วโมง ช่วงนี้เหมาะสำหรับตรวจสารหนูในเลือด
- ช่วงที่สอง คือ 3 ชั่วโมงถึง 7 วัน การขับออกช้าลง ใช้เวลา 30 ชั่วโมงในการกำจัดครึ่งหนึ่ง
- ช่วงสุดท้าย คือ หลัง 10 วัน การขับออกช้ามาก ใช้เวลา 300 ชั่วโมง สารหนูจะกระจายไปตับ ไต กล้ามเนื้อ และผิวหนัง
หลัง 2-4 สัปดาห์ สารหนูจะถูกสะสมในผม เล็บ และผิวหนัง ตรวจพบได้นานถึง 1-2 เดือน สารหนูรูป Arsenate (พบในน้ำ) จะเปลี่ยนเป็น Arsenite ซึ่งพิษรุนแรงกว่าในร่างกาย ก่อนขับออกทางปัสสาวะ ร้อยละ 46-68.9 ใน 4-5 วันแรก การสะสมนี้อาจทำให้เกิดอาการรุนแรงถ้าได้รับสารหนูนาน ๆ
"สารหนู" ทำร้ายร่างกายอย่างไร ?
สารหนูรบกวนการทำงานของเซลล์ โดยปิดกั้นการผลิตพลังงาน ATP ทำให้เซลล์ขาดพลังงานและตาย สารหนูรูป Arsenite จับกับโปรตีนในเซลล์ หยุดวงจรผลิตพลังงานที่เรียกว่า Krebs cycle ส่วนสารหนูรูป Arsenate จะแทนที่ฟอสเฟตใน ATP สร้างสารที่ไม่เสถียร ทำให้ร่างกายเสียพลังงานเพิ่ม
นอกจากนั้น สารหนูยังทำลายหลอดเลือด ทำให้เลือดและน้ำรั่ว ร่างกายขาดน้ำ ความดันโลหิตต่ำ และอวัยวะ เช่น ไตและตับ ล้มเหลว ในระยะยาว สารหนูอาจทำลาย DNA และเพิ่มอนุมูลอิสระ ซึ่งนำไปสู่มะเร็งและโรคเรื้อรังได้
อาการของพิษ "สารหนู"
- พิษเฉียบพลัน (ได้รับสารหนูมากในครั้งเดียว)
ถ้ากินหรือสูดสารหนูปริมาณมาก เช่น จากน้ำปนเปื้อน อาการจะเริ่มใน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง จากปากแห้ง คอแสบ กลืนลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องรุนแรง ท้องเสียอาจเป็นน้ำขุ่นหรือมีเลือดปน บางคนมีรสโลหะหรือกลิ่นกระเทียมในปาก ถ้ารุนแรงอาจช็อกจากขาดน้ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตต่ำ
การสูดฝุ่นสารหนู อาจทำให้ไอ หายใจลำบาก หรือปอดบวมน้ำ หลัง 1-3 สัปดาห์ อาจชาปลายมือเท้า ปวดแสบร้อน เดินลำบาก หรือหายใจล้มเหลว สมองอาจบวม สับสน หรือโคมา ไตอาจมีโปรตีนในปัสสาวะหรือไตวาย ระบบเลือดอาจผลิตเม็ดเลือดน้อยลง เสี่ยงมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- พิษเรื้อรัง (ได้รับสารหนูน้อยๆ แต่ต่อเนื่อง)
ถ้าได้รับสารหนูปริมาณน้อยแต่นาน ๆ เช่น จากน้ำบาดาลหรือยาสมุนไพร อาการจะค่อย ๆ มา ผิวหนังเปลี่ยนสีเป็นรอยเข้มสลับจาง ฝ่ามือฝ่าเท้าด้านหนา เล็บมีแถบขาว (Mees’ line) รุนแรงถึงมะเร็งผิวหนังหลังสัมผัส 20-40 ปี อาจมีผมร่วงหรือผื่น ระบบประสาททำให้ชาปลายมือเท้า อ่อนแรง เดินลำบาก ความจำเสื่อม หรือหูหนวก หัวใจอาจเต้นผิดจังหวะ ความดันสูง หรือปลายเท้าเน่า (blackfoot disease) เสี่ยงมะเร็งปอด ตับ ไต กระเพาะปัสสาวะ เบาหวาน และโลหิตจาง
การตรวจต้องใช้เครื่องมือในโรงพยาบาล การตรวจเลือดเหมาะสำหรับพิษเฉียบพลันใน 1-2 ชั่วโมงแรก การตรวจปัสสาวะดีกว่าสำหรับพิษเฉียบพลัน โดยเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ค่าปกติ 0-50 µg/gm Creatinine อาจพบได้นาน 1-2 เดือน ต้องระวังผลบวกลวงจากอาหารทะเล การตรวจผมและเล็บเหมาะสำหรับพิษเรื้อรัง ค่าปกติในผม 0-3 µg/gm การตรวจคลื่นไฟฟ้าประสาทยืนยันอาการชาและอ่อนแรง การตรวจเลือด ไต ตับ และคลื่นไฟฟ้าหัวใจช่วยดูผลกระทบต่ออวัยวะ

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ทำอย่างไรเมื่อ "สารหนู" เข้าร่างกาย
การรักษาเฉพาะ โดยใช้ยา Chelating จับสารหนู เช่น Dimercaprol (ฉีดทุก 4-6 ชั่วโมง) Succimer (กินทุก 8 ชั่วโมง 5 วัน) ยาจะหยุดเมื่อสารหนูในปัสสาวะต่ำกว่า 50 µg/ml
ในพิษเฉียบพลันอาจให้ยาทันทีถ้ามีประวัติชัดเจน พิษเรื้อรังควรรอผลตรวจ ปฐมพยาบาลต้องส่งโรงพยาบาล ห้ามทำให้อาเจียนถ้าหมดสติ ถอดเสื้อผ้าปนเปื้อน การรักษาประคับประคองให้สารน้ำแก้ขาดน้ำ ล้างกระเพาะหรือล้างลำไส้ถ้าสารหนูค้างในท้อง ถ่านกัมมันต์ช่วยดูดซับสารในพิษเฉียบพลัน พิษเรื้อรังรักษาตามอาการ เช่น ผ่าตัดมะเร็ง หรือยาทาผื่น แต่ยากต่อการหายขาด
หญิงวัย 62 ปี จากขอนแก่น มีอาการชาปลายมือเท้า 2 เดือน จนชาถึงข้อมือและข้อเข่า ไม่สามารถใส่รองเท้าเดินเองได้ มือกำของก็หลุด
ตรวจพบผิวเปลี่ยนสี ฝ่ามือหนา และเล็บมีแถบขาว สารหนูในปัสสาวะสูง 345.7 µg/gm (ปกติ 0-50) และในผม 27.9 µg/gm (ปกติ 0-3) การตรวจคลื่นไฟฟ้าประสาทยืนยันประสาทเสียหาย ผู้ป่วยกินยาสมุนไพรที่มีสารหนูปนเปื้อน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์นาน 10 ปี สรุปว่าเป็นพิษเรื้อรังจากยาที่ไม่ได้มาตรฐาน
สารหนูอาจอยู่ใน "ข้าว" โดยเฉพาะข้าวกล้องจากดินปนเปื้อน อาหารทะเล เช่น ปลาทูน่า หอย กุ้ง มีสารหนูอินทรีย์ที่พิษน้อย ผักใบเขียว เช่น ผักขม หรือผลไม้จากดินที่มีสารหนู เนื้อสัตว์ เช่น ไก่หรือหมู จากอาหารปนเปื้อน น้ำบาดาลที่ไม่กรอง อาหารกระป๋องจากโรงงานน้ำสกปรก ยาสมุนไพรหรือบุหรี่บางชนิด

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
วิธีป้องกันพิษจาก "สารหนู"
ป้องกันสารหนูเริ่มจาก ใช้น้ำกรอง เช่น เครื่อง Reverse Osmosis ตรวจน้ำบาดาลสม่ำเสมอ ล้างข้าว ผัก ผลไม้ให้สะอาด เลือกซื้ออาหารจากแหล่งปลอดภัย หลีกเลี่ยงดินหรือฝุ่นใกล้โรงงานหรือเหมือง เกษตรกรต้องสวมถุงมือและหน้ากาก ตรวจสุขภาพทุกปี สังเกตอาการชา ผื่น ผิวเปลี่ยนสี รีบพบหมอถ้าผิดปกติ การให้ความรู้ในชุมชนเกี่ยวกับน้ำบาดาลและยาสมุนไพรช่วยลดความเสี่ยงได้
ท้ายที่สุดแล้ว "สารหนู" เป็นสารพิษที่อาจอยู่ในน้ำ อาหาร และยา พิษเฉียบพลันทำให้ท้องเสียถึงตาย พิษเรื้อรังนำไปสู่มะเร็งและโรคประสาท การป้องกันด้วยน้ำสะอาด อาหารปลอดภัย และตรวจสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ ประเทศไทยต้องระวังน้ำบาดาลและยาสมุนไพรที่อาจปนเปื้อน การรู้เท่าทันและระวังจะช่วยให้ทุกวัยปลอดภัยจากสารหนู
ที่มา : Arsenic in the Environment, WHO, Journal of Toxicology, Arsenic Toxicity : Mechanisms and Health Effects, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 2566 คู่มือการจัดการสารหนูในน้ำบาดาล
อ่านข่าวอื่น :
นักวิชาการ ชี้ แม่ขายคลิปอนาจารลูกเข้าข่าย ‘ค้ามนุษย์’
หลุมดำยักยอกเงินวัด นักวิชาการชี้ขาดกลไกตรวจสอบ เจ้าอาวาสอำนาจล้นมือ
แท็กที่เกี่ยวข้อง: